ร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายสินค้าออนไลน์ “เฟซบุ๊ก-กูเกิล-ไลน์” มีรายได้ต้องจ่ายภาษี!!!(อ่านรายละเอียด)
แม่ค้าออนไลน์รู้ไว้!!! กรมสรรพากรเตรียมพิจารณาร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายสินค้าออนไลน์ “เฟซบุ๊ก-กูเกิล-ไลน์” มีรายได้ต้องจ่ายภาษี!!!(อ่านรายละเอียด)
เจ้าตัวน้อยเห็นว่าข่าวนี้ดีมีประโยชน์สำหรับแม่ค้าออนไลน์ทุกคน
โดยปัจจุบันนี้การค้าขายออนไลน์หรืออี-คอมเมิร์ซในประเทศไทย มีมูลค่ามากกว่า 2.5
ล้านล้านบาท (ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ
ETDA) หรือคิดเป็น 40 % ของมูลค่าสินค้าและบริการทั้งหมดของประเทศไทย
เช่นเดียวกับเม็ดเงินโฆษณา ที่กำลังหลั่งไหลเข้าสู่สื่อดิจิทัล อินเตอร์เน็ต
ปีที่ผ่านมามีมูลค่า 9,150 ล้านบาท
(ข้อมูลจากสมาคมมีเดียเอเจนซีและธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย หรือ MAAT) โดย 90 % ของเงินจำนวนดังกล่าว ตกเป็นรายได้ของบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่
อย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) กูเกิล (Google) ยูทูบ (YouTube) และไลน์ (Line) ซึ่งสถานะในไทยเป็นเพียงสำนักงานสาขา รับแต่รายได้ ไม่มีภาระภาษีใด ๆ
การพิจารณาเพื่อนำผู้ค้าและบริการเหล่านี้เข้าสู่ระบบภาษี
ให้มีการนำรายได้ไปพัฒนาประเทศในกิจการที่จำเป็น
สร้างการแข่งขันที่เท่าเทียมกับผู้ค้าในช่องทางปกติ
ที่ต้องเสียภาษีและอยู่ในกฎระเบียบของภาครัฐ จึงน่าจะถึงเวลาเสียที!!และนี่คือความชัดเจนจาก “ประสงค์ พูนธเนศ” อธิบดีกรมสรรพากร
ต่อความพยายามครั้งสำคัญนี้ ในฐานะหน่วยงานจัดเก็บและสร้างความเท่าเทียมทางภาระภาษีของประเทศ
“ขณะนี้
กรมสรรพากรกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายสินค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
หรืออี-คอมเมิร์ซ โดยคาดว่ากระทรวงการคลัง
จะเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในอีก 2-3 เดือน
หรือไม่เกินไตรมาส 2 ของปีนี้ ก่อนที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติ
(สนช.) เพื่อให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้”
เหตุผลของการยกร่างกฎหมายดังกล่าว
เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการบริโภคสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี ซึ่งแต่เดิมนั้น
กฎหมายในการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรตลอด 100 ปีที่ผ่านมา
(กรมสรรพากรก่อตั้งเมื่อปี 2458) มีการปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีให้ทันสมัยและเหมาะสมกับสถานการณ์อยู่แล้ว
แต่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากและการค้าขายถูกพลิกโฉมไปหมดด้วยเทคโนโลยี
“สิ่งที่สรรพากรทำต้องอยู่ภายใต้การรองรับของกฎหมาย
แต่เมื่อจะทำเพิ่ม จึงต้องมีการเสนอให้กระทรวงการคลังออกร่างกฎหมายฉบับใหม่ขึ้นมา
เพื่อจัดเก็บภาษีอี-คอมเมิร์ซเป็นการเฉพาะ”
โดยก่อนอื่น
ต้องทำความเข้าใจให้ถูกก่อนว่า
การดำเนินธุรกิจหรือประกอบอาชีพค้าขายทั้งรายเล็กหรือรายใหญ่ หากมีรายได้ก็ต้องเสียภาษีให้แก่รัฐบาล
เพื่อที่รัฐบาลจะได้นำเงินภาษีไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน รถไฟ
น้ำประปาและไฟฟ้า เพื่อสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติ
หากเป็นบริษัทนิติบุคคล
ก็จะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กรมสรรพากร แต่หากเป็นบุคคลธรรมดาก็เสียภาษีเงินได้บุคคล
ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้ หากกิจการเกิดค้าขายดี มีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
ก็ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ด้วย
ดังนั้น ร่างกฎหมายที่จะเสนอใหม่นี้ กรมสรรพากรจึงได้ศึกษาผลดีและผลเสียจากต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับปรุงและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับประเทศไทย ผ่านการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และหวังจะให้รองรับการค้าบนโลกออนไลน์ในอีก 20-30 ปีข้างหน้าอีกด้วย
โดยสรรพากรได้วางแนวทางการจัดเก็บภาษีอี-คอมเมิร์ซ
ไว้ 2 แนวทาง คือ
1.ภาษีธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ
ที่มีการซื้อขายสินค้าและบริการในประเทศ
2.อี-คอมเมิร์ซ
ที่มีการซื้อขายสินค้าและบริการในต่างประเทศ
ซึ่งกฎหมายปัจจุบันของกรมสรรพากร
ครอบคลุมการจัดเก็บภาษีอี - คอมเมิร์ซ ที่มีการซื้อขายสินค้าในประเทศเท่านั้น
ส่วนอี-คอมเมิร์ซ ที่มีธุรกรรมการซื้อขายสินค้าในต่างประเทศนั้น
ยังไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้
“การจัดเก็บภาษีธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ
ภายในประเทศนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก
เพราะกรมสรรพากรสามารถติดตามการซื้อขายสินค้าได้จากช่องทางการชำระเงิน
ซึ่งได้ดำเนินการตรวจสอบและเรียกเก็บภาษีจากผู้ประกอบการกลุ่มนี้ มาได้ประมาณ 1-2
ปีแล้ว โดยในแต่ละปีจัดเก็บภาษีจากอี-คอมเมิร์ซกลุ่มนี้ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
จากระดับ 100 ล้านบาท มาเป็นมากกว่า 1,000
ล้านบาทต่อปี”
แต่การจัดเก็บภาษีที่กรมสรรพากรยังจัดเก็บไปไม่ถึง
ก็คือ การเก็บภาษีอี-คอมเมิร์ซ จากการซื้อขายสินค้าและบริการในต่างประเทศ
แม้ว่าธุรกรรมจะเกิดขึ้นในประเทศไทยก็ตาม แต่การชำระเงิน
การส่งมอบสินค้าหรือบริการ อาจจะเกิดหรือไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยก็ได้
เช่น
การจองห้องพักโรงแรม เมื่อผู้ซื้อได้สั่งจองที่พักแล้ว ผู้ซื้อจ่ายเงินผ่านบัตรวีซ่า
ก็จะมีการหักเงินมาจากต่างประเทศ โดยธนาคารพาณิชย์ในไทยทำหน้าที่เป็นตัวกลางชำระเงินเท่านั้น
เช่นเดียวกับการลงโฆษณาในไลน์หรือเฟซบุ๊ก ที่ชำระเงินด้วยบัตรเครดิต
ก็มีการหักเงินมาจากต่างประเทศเช่นกัน
ดังนั้น
เมื่อเจ้าของสินค้าหรือบริการ ที่ไม่มีสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศไทย กรมสรรพากรก็ไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้
จึงทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีเป็นเงินจำนวนมาก
ดังนั้น ร่างกฎหมายที่จะเสนอใหม่นี้
กรมสรรพากรจึงได้ศึกษาผลดีและผลเสียจากต่างประเทศ
เพื่อนำมาปรับปรุงและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับประเทศไทย ผ่านการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)
และหวังจะให้รองรับการค้าบนโลกออนไลน์ในอีก 20-ด30 ปีข้างหน้าอีกด้วย
สำหรับหลักการที่วางไว้คือ
1.กรณีเว็บไซต์โซเชียลมีเดียต่างชาติ ที่มีข้อความหรืออักษรเป็นภาษาไทย
ร่างกฎหมายใหม่ จะเปิดกว้างให้กรมสรรพากรตีความว่า เว็บไซต์ดังกล่าว
มีสถานที่หรือสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศไทย
2.เมื่อผู้ประกอบการมีสำนักงานที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
กรมสรรพากรสามารถประเมินภาษีจากธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้
โดยกรมสรรพากรอาจจะระบุจำนวนเงินที่ชัดเจนในการเสียภาษี ซึ่งกรณีนี้หากผู้ประกอบการคิดว่าไม่ถูกต้อง
ก็สามารถยื่นเอกสารประกอบการชี้แจง เพื่อการประเมินภาษีร่วมกันได้
ทั้งนี้
อัตราภาษีที่กรมสรรพากรจะเรียกเก็บ
จะเท่ากับอัตราภาษีที่ผู้ประกอบการภายในประเทศชำระภาษีให้แก่กรมสรรพากร
โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เก็บในอัตรา 7% ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลเก็บในอัตรา
20%.
กสทช.-ดีอีมองคนละมุม
ด้านนายฐากร
ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทร-คมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า การเติบโตของอี-คอมเมิร์ซ
การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ผ่านไลน์, เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม ฯลฯ นั้นพบว่ามีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด
ขณะที่กฎหมายกำกับดูแลก้าวตามไม่ทัน ปัญหานี้เป็นสิ่งที่หลายประเทศมีความกังวล
และอยู่ระหว่างหาแนวทางในการกำกับดูแล
“สำหรับการค้าขายออนไลน์
ผมได้เสนอแนวคิดไปยังรัฐบาลแล้วว่า หากจะมีการจัดเก็บภาษีก็ต้องจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
(แวต) หรือจัดเก็บจากช่องทางการชำระเงิน เพราะเมื่อมีการซื้อขายสินค้า
ชำระเงินบัตรเครดิต รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีไม่ได้เลย เพราะปลายทางบริษัทที่ขายสินค้า
ไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทย”
“หรือกรณีโอนเงิน
ก็เป็นการโอนเงินระหว่างบุคคล ไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้และตรวจสอบก็ไม่ได้
แต่แม้เป็นเรื่องยาก ก็ควรต้องหาช่องทางดำเนินการ เพราะเมื่อมีรายได้ก็ต้องเสียภาษีให้กับประเทศด้วย”
เมื่อไม่นานมานี้
ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมกับผู้นำองค์กรกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมในกลุ่มประเทศอาเซียน
10 ประเทศ ซึ่งทุกประเทศก็ได้ตั้งคำถามกับโซเชียลมีเดียข้ามชาติเหล่านี้ว่า
ได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศที่เข้าไปให้บริการมากน้อยเพียงใด
และดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ หรือไม่
ที่เมื่อทำธุรกิจในประเทศใดแล้ว ก็จะต้องเสียภาษีให้กับประเทศนั้น
เพื่อรัฐบาลจะได้นำเงินจากภาษีไปพัฒนาประเทศ
โดยสมาชิกอาเซียน
10 ประเทศ จะประชุมหารือกันในวันที่ 12 - 13 ก.ย.2560 นี้
เพื่อหารือถึงแนวการกำกับดูแล สร้างอำนาจต่อรองกับผู้ประกอบการระดับโลก เช่น ไลน์
เฟซบุ๊ก ยูทูบ เพื่อให้หันมาลงทุนในอาเซียน ไม่ใช่แค่ตั้งสำนักงานสาขาเท่านั้น
นอกจากนั้น
กสทช. จะต้องเชิญผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทั้ง 20 ช่อง
มาหารือถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเกิดบริการของไลน์ทีวี (Line
TV) เฟซบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live) และยูทูบทีวี
(YouTube TV) ด้วย เพราะทีวีดิจิทัลประมูลมาในราคาที่แพง
แต่บริการเหล่านี้ ไม่ต้องประมูล ไม่ต้องขออนุญาต ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปี
แต่ทำรายได้เพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ จึงควรอยู่ในการกำกับดูแลด้วยเช่นกัน
แต่จะกำกับอย่างไร ในเมื่อกฎเกณฑ์ ข้อบังคับยังไม่มี
ขณะที่นาย พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) มองอีกมุม ระบุ
ไม่ว่าประเทศใดในโลกรวมทั้งไทย ไม่สามารถปฏิเสธอี-คอมเมิรซ์ได้
และรัฐบาลก็ไม่สามารถกีดกันหรือสร้างกำแพงเพื่อจัดเก็บภาษีได้
เพราะทั่วโลกไม่มีใครทำ
การเข้ามาของโซเชียลมีเดียข้ามชาติเหล่านี้
ไม่ว่าจะเป็น ไลน์ เฟซบุ๊ก ทำให้คนไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว
ดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และนำประเทศไทยสู่ยุค 4.0
สิ่งที่ประเทศไทยควรทำนั่นก็คือการต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากโซเชียลมีเดียข้ามชาติเหล่านี้
ด้วยการส่งเสริมให้เกิดนักธุรกิจรายใหม่ (สตาร์ตอัพ) เมื่อมีสตาร์ตอัพจำนวนมากขึ้น
ก็จะมีการค้าขายเกิดขึ้น เก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้นไปเอง
โดยเชื่อว่าทุกบริษัทตระหนักถึงการเสียภาษีอยู่แล้ว
“ผมไม่อยากให้ไปให้ความสำคัญกับการจัดเก็บภาษี
ที่เป็นลักษณะการค้าขายระหว่างผู้บริโภคต่อผู้บริโภค หรือ
C to C เพราะเป็นเพียงส่วนน้อย และเราก็ไม่รู้ว่าใครโอนเงินให้ใคร
ใครขายของให้ใคร แต่เราควรโฟกัส ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้บริการไลน์
เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ด้วยการส่งเสริมให้คนไทยพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ
ดึงดูดให้คนหันมาใช้บริการและใช้ประโยชน์จากแอพพลิเคชั่นนั้น ๆ มากกว่า”
ได้อ่านข่าวนี้แล้ว
เจ้าตัวน้อยเชื่อเหลือเกินว่าแม่ค้าออนไลน์ทั้งหลายก็จะต้องคอยฟังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกับการจัดเก็บภาษีอย่างไรบ้างในอนาคต เพื่อที่จะได้รู้ความเป็นไปและมีความเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น