ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เปิดบริสุทธิ์ราคาแพง!! นางแบบวัย 19 ประมูลขายความซิงยอดทะลุ 60 ล้านบาท

ร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายสินค้าออนไลน์ “เฟซบุ๊ก-กูเกิล-ไลน์” มีรายได้ต้องจ่ายภาษี!!!(อ่านรายละเอียด)


แม่ค้าออนไลน์รู้ไว้!!! กรมสรรพากรเตรียมพิจารณาร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายสินค้าออนไลน์ “เฟซบุ๊ก-กูเกิล-ไลน์” มีรายได้ต้องจ่ายภาษี!!!(อ่านรายละเอียด)
เจ้าตัวน้อยเห็นว่าข่าวนี้ดีมีประโยชน์สำหรับแม่ค้าออนไลน์ทุกคน โดยปัจจุบันนี้การค้าขายออนไลน์หรืออี-คอมเมิร์ซในประเทศไทย มีมูลค่ามากกว่า 2.5 ล้านล้านบาท (ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA) หรือคิดเป็น 40 % ของมูลค่าสินค้าและบริการทั้งหมดของประเทศไทย เช่นเดียวกับเม็ดเงินโฆษณา ที่กำลังหลั่งไหลเข้าสู่สื่อดิจิทัล อินเตอร์เน็ต ปีที่ผ่านมามีมูลค่า 9,150 ล้านบาท (ข้อมูลจากสมาคมมีเดียเอเจนซีและธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย หรือ MAAT) โดย 90 % ของเงินจำนวนดังกล่าว ตกเป็นรายได้ของบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ อย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) กูเกิล (Google) ยูทูบ (YouTube) และไลน์ (Line) ซึ่งสถานะในไทยเป็นเพียงสำนักงานสาขา รับแต่รายได้ ไม่มีภาระภาษีใด ๆ


การพิจารณาเพื่อนำผู้ค้าและบริการเหล่านี้เข้าสู่ระบบภาษี ให้มีการนำรายได้ไปพัฒนาประเทศในกิจการที่จำเป็น สร้างการแข่งขันที่เท่าเทียมกับผู้ค้าในช่องทางปกติ ที่ต้องเสียภาษีและอยู่ในกฎระเบียบของภาครัฐ จึงน่าจะถึงเวลาเสียที!!และนี่คือความชัดเจนจาก “ประสงค์ พูนธเนศ” อธิบดีกรมสรรพากร ต่อความพยายามครั้งสำคัญนี้ ในฐานะหน่วยงานจัดเก็บและสร้างความเท่าเทียมทางภาระภาษีของประเทศ

“ขณะนี้ กรมสรรพากรกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายสินค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-คอมเมิร์ซ โดยคาดว่ากระทรวงการคลัง จะเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ในอีก 2-3 เดือน หรือไม่เกินไตรมาส 2 ของปีนี้ ก่อนที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติ (สนช.) เพื่อให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้”

เหตุผลของการยกร่างกฎหมายดังกล่าว เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการบริโภคสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยี ซึ่งแต่เดิมนั้น กฎหมายในการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากรตลอด 100 ปีที่ผ่านมา (กรมสรรพากรก่อตั้งเมื่อปี 2458) มีการปรับปรุงวิธีการจัดเก็บภาษีให้ทันสมัยและเหมาะสมกับสถานการณ์อยู่แล้ว แต่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากและการค้าขายถูกพลิกโฉมไปหมดด้วยเทคโนโลยี

“สิ่งที่สรรพากรทำต้องอยู่ภายใต้การรองรับของกฎหมาย แต่เมื่อจะทำเพิ่ม จึงต้องมีการเสนอให้กระทรวงการคลังออกร่างกฎหมายฉบับใหม่ขึ้นมา เพื่อจัดเก็บภาษีอี-คอมเมิร์ซเป็นการเฉพาะ”

โดยก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจให้ถูกก่อนว่า การดำเนินธุรกิจหรือประกอบอาชีพค้าขายทั้งรายเล็กหรือรายใหญ่ หากมีรายได้ก็ต้องเสียภาษีให้แก่รัฐบาล เพื่อที่รัฐบาลจะได้นำเงินภาษีไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน รถไฟ น้ำประปาและไฟฟ้า เพื่อสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติ

หากเป็นบริษัทนิติบุคคล ก็จะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กรมสรรพากร แต่หากเป็นบุคคลธรรมดาก็เสียภาษีเงินได้บุคคล ซึ่งทั้ง 2 กรณีนี้ หากกิจการเกิดค้าขายดี มีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ด้วย

ดังนั้น ร่างกฎหมายที่จะเสนอใหม่นี้ กรมสรรพากรจึงได้ศึกษาผลดีและผลเสียจากต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับปรุงและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับประเทศไทย ผ่านการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และหวังจะให้รองรับการค้าบนโลกออนไลน์ในอีก 20-30 ปีข้างหน้าอีกด้วย
โดยสรรพากรได้วางแนวทางการจัดเก็บภาษีอี-คอมเมิร์ซ ไว้  2 แนวทาง คือ
1.ภาษีธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ที่มีการซื้อขายสินค้าและบริการในประเทศ  
2.อี-คอมเมิร์ซ ที่มีการซื้อขายสินค้าและบริการในต่างประเทศ

ซึ่งกฎหมายปัจจุบันของกรมสรรพากร ครอบคลุมการจัดเก็บภาษีอี - คอมเมิร์ซ ที่มีการซื้อขายสินค้าในประเทศเท่านั้น ส่วนอี-คอมเมิร์ซ ที่มีธุรกรรมการซื้อขายสินค้าในต่างประเทศนั้น ยังไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้

“การจัดเก็บภาษีธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ภายในประเทศนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะกรมสรรพากรสามารถติดตามการซื้อขายสินค้าได้จากช่องทางการชำระเงิน ซึ่งได้ดำเนินการตรวจสอบและเรียกเก็บภาษีจากผู้ประกอบการกลุ่มนี้ มาได้ประมาณ 1-2 ปีแล้ว โดยในแต่ละปีจัดเก็บภาษีจากอี-คอมเมิร์ซกลุ่มนี้ได้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากระดับ 100 ล้านบาท มาเป็นมากกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี”

แต่การจัดเก็บภาษีที่กรมสรรพากรยังจัดเก็บไปไม่ถึง ก็คือ การเก็บภาษีอี-คอมเมิร์ซ จากการซื้อขายสินค้าและบริการในต่างประเทศ แม้ว่าธุรกรรมจะเกิดขึ้นในประเทศไทยก็ตาม แต่การชำระเงิน การส่งมอบสินค้าหรือบริการ อาจจะเกิดหรือไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทยก็ได้

เช่น การจองห้องพักโรงแรม เมื่อผู้ซื้อได้สั่งจองที่พักแล้ว ผู้ซื้อจ่ายเงินผ่านบัตรวีซ่า ก็จะมีการหักเงินมาจากต่างประเทศ โดยธนาคารพาณิชย์ในไทยทำหน้าที่เป็นตัวกลางชำระเงินเท่านั้น เช่นเดียวกับการลงโฆษณาในไลน์หรือเฟซบุ๊ก ที่ชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ก็มีการหักเงินมาจากต่างประเทศเช่นกัน

ดังนั้น เมื่อเจ้าของสินค้าหรือบริการ ที่ไม่มีสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศไทย กรมสรรพากรก็ไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ จึงทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีเป็นเงินจำนวนมาก

ดังนั้น ร่างกฎหมายที่จะเสนอใหม่นี้ กรมสรรพากรจึงได้ศึกษาผลดีและผลเสียจากต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับปรุงและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับประเทศไทย ผ่านการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และหวังจะให้รองรับการค้าบนโลกออนไลน์ในอีก 20-ด30 ปีข้างหน้าอีกด้วย

สำหรับหลักการที่วางไว้คือ 1.กรณีเว็บไซต์โซเชียลมีเดียต่างชาติ ที่มีข้อความหรืออักษรเป็นภาษาไทย ร่างกฎหมายใหม่ จะเปิดกว้างให้กรมสรรพากรตีความว่า เว็บไซต์ดังกล่าว มีสถานที่หรือสำนักงานตั้งอยู่ในประเทศไทย

2.เมื่อผู้ประกอบการมีสำนักงานที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย กรมสรรพากรสามารถประเมินภาษีจากธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ โดยกรมสรรพากรอาจจะระบุจำนวนเงินที่ชัดเจนในการเสียภาษี ซึ่งกรณีนี้หากผู้ประกอบการคิดว่าไม่ถูกต้อง ก็สามารถยื่นเอกสารประกอบการชี้แจง เพื่อการประเมินภาษีร่วมกันได้

ทั้งนี้ อัตราภาษีที่กรมสรรพากรจะเรียกเก็บ จะเท่ากับอัตราภาษีที่ผู้ประกอบการภายในประเทศชำระภาษีให้แก่กรมสรรพากร โดยภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เก็บในอัตรา 7% ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลเก็บในอัตรา 20%.


กสทช.-ดีอีมองคนละมุม

ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทร-คมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า การเติบโตของอี-คอมเมิร์ซ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ผ่านไลน์, เฟซบุ๊ก, อินสตาแกรม ฯลฯ นั้นพบว่ามีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ขณะที่กฎหมายกำกับดูแลก้าวตามไม่ทัน ปัญหานี้เป็นสิ่งที่หลายประเทศมีความกังวล และอยู่ระหว่างหาแนวทางในการกำกับดูแล

“สำหรับการค้าขายออนไลน์ ผมได้เสนอแนวคิดไปยังรัฐบาลแล้วว่า หากจะมีการจัดเก็บภาษีก็ต้องจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) หรือจัดเก็บจากช่องทางการชำระเงิน เพราะเมื่อมีการซื้อขายสินค้า ชำระเงินบัตรเครดิต รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีไม่ได้เลย เพราะปลายทางบริษัทที่ขายสินค้า ไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทย”

“หรือกรณีโอนเงิน ก็เป็นการโอนเงินระหว่างบุคคล ไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้และตรวจสอบก็ไม่ได้ แต่แม้เป็นเรื่องยาก ก็ควรต้องหาช่องทางดำเนินการ เพราะเมื่อมีรายได้ก็ต้องเสียภาษีให้กับประเทศด้วย”

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมกับผู้นำองค์กรกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมในกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ซึ่งทุกประเทศก็ได้ตั้งคำถามกับโซเชียลมีเดียข้ามชาติเหล่านี้ว่า ได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศที่เข้าไปให้บริการมากน้อยเพียงใด และดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ หรือไม่ ที่เมื่อทำธุรกิจในประเทศใดแล้ว ก็จะต้องเสียภาษีให้กับประเทศนั้น เพื่อรัฐบาลจะได้นำเงินจากภาษีไปพัฒนาประเทศ

โดยสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ จะประชุมหารือกันในวันที่ 12 - 13 ก.ย.2560 นี้ เพื่อหารือถึงแนวการกำกับดูแล สร้างอำนาจต่อรองกับผู้ประกอบการระดับโลก เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก ยูทูบ เพื่อให้หันมาลงทุนในอาเซียน ไม่ใช่แค่ตั้งสำนักงานสาขาเท่านั้น

นอกจากนั้น กสทช. จะต้องเชิญผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทั้ง 20 ช่อง มาหารือถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเกิดบริการของไลน์ทีวี (Line TV) เฟซบุ๊กไลฟ์ (Facebook Live) และยูทูบทีวี (YouTube TV) ด้วย เพราะทีวีดิจิทัลประมูลมาในราคาที่แพง แต่บริการเหล่านี้ ไม่ต้องประมูล ไม่ต้องขออนุญาต ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมรายปี แต่ทำรายได้เพิ่มขึ้น   เรื่อย ๆ จึงควรอยู่ในการกำกับดูแลด้วยเช่นกัน แต่จะกำกับอย่างไร ในเมื่อกฎเกณฑ์ ข้อบังคับยังไม่มี


ขณะที่นาย พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) มองอีกมุม ระบุ ไม่ว่าประเทศใดในโลกรวมทั้งไทย ไม่สามารถปฏิเสธอี-คอมเมิรซ์ได้ และรัฐบาลก็ไม่สามารถกีดกันหรือสร้างกำแพงเพื่อจัดเก็บภาษีได้ เพราะทั่วโลกไม่มีใครทำ

การเข้ามาของโซเชียลมีเดียข้ามชาติเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น ไลน์ เฟซบุ๊ก ทำให้คนไทยก้าวสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว ดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และนำประเทศไทยสู่ยุค 4.0

สิ่งที่ประเทศไทยควรทำนั่นก็คือการต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากโซเชียลมีเดียข้ามชาติเหล่านี้ ด้วยการส่งเสริมให้เกิดนักธุรกิจรายใหม่ (สตาร์ตอัพ) เมื่อมีสตาร์ตอัพจำนวนมากขึ้น ก็จะมีการค้าขายเกิดขึ้น เก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้นไปเอง โดยเชื่อว่าทุกบริษัทตระหนักถึงการเสียภาษีอยู่แล้ว

“ผมไม่อยากให้ไปให้ความสำคัญกับการจัดเก็บภาษี ที่เป็นลักษณะการค้าขายระหว่างผู้บริโภคต่อผู้บริโภค หรือ C to C เพราะเป็นเพียงส่วนน้อย และเราก็ไม่รู้ว่าใครโอนเงินให้ใคร ใครขายของให้ใคร แต่เราควรโฟกัส ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มจากการใช้บริการไลน์ เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ด้วยการส่งเสริมให้คนไทยพัฒนาแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ ดึงดูดให้คนหันมาใช้บริการและใช้ประโยชน์จากแอพพลิเคชั่นนั้น ๆ มากกว่า”
ได้อ่านข่าวนี้แล้ว เจ้าตัวน้อยเชื่อเหลือเกินว่าแม่ค้าออนไลน์ทั้งหลายก็จะต้องคอยฟังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกับการจัดเก็บภาษีอย่างไรบ้างในอนาคต เพื่อที่จะได้รู้ความเป็นไปและมีความเตรียมพร้อมอยู่เสมอ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เปิดบริสุทธิ์ราคาแพง!! นางแบบวัย 19 ประมูลขายความซิงยอดทะลุ 60 ล้านบาท

นาน ๆ ทีจะเป็นประเด็นสำหรับเรื่องพรหมจารีของหญิงสาว ซึ่งสมัยนี้เขาไม่ค่อยถือสากันสักเท่าไหร่ แต่ที่แปลกคือ Giselle (กีเซลล์) สาววัย 19 ปี นางแบบสาวสวยในวัยเรียน ได้นำมาเปิดประมูลให้ชายหนุ่มที่อยากเห็นเลือดบริสุทธิ์ประเดิมครั้งแรกได้มาประมูลกัน Giselle (กีเซลล์) อาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกา เปิดประมูลความบริสุทธิ์ให้ใครก็ได้ที่ให้ราคาประมูลสูงที่สุด ก็จะได้เป็น “คนแรก”ในชีวิตเธอ ผ ่านทางเว็บไซต์ Cinderella Escorts เป็นเว็บที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ โดยคนที่ชนะการประมูลนั้นเป็นถึงมหาเศรษฐีนักธุรกิจจากเมืองอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่เฉือนเอาชนะนักแสดงฮอลลีวูดไปด้วยราคาประมูลกว่า 2 ล้านเหรียญ (65,855,215 บาท) โดยเธอให้เหตุผลว่าเพื่อหาเงินเป็นค่าเล่าเรียนและเดินทางท่องเที่ยว เธอกล่าวว่า “ฉันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าราคาประมูลมันจะพุ่งขึ้นสูงถึงเพียงนี้ มันเหมือนฝันที่เป็นจริงเลย ฉันคิดว่ากระแสของการออกมาเปิดประมูลบริสุทธิ์ตัวเองนั้นมันคือรูปแบบของการปลดแอก ถ้าฉันอยากมอบบริสุทธิ์ของตัวเองให้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่รักแรกของฉัน มันก็เป็นการตัดสินใจของฉัน ฉันจะทำอะไ...

เช็ควันหยุดกันหน่อย!! ประกาศแล้ววันหยุด ปี 2561 มากกว่าทุกปี ตรงกับวันไหนบ้าง (อ่านรายละเอียด)

หลายคนอยากทราบว่า ในปี พ.ศ. 2561 จะมีวันหยุดราชการตรงกับวันไหนบ้าง หรือเดือนไหนที่มีวันหยุดยาวให้เราได้พักผ่อนจากการทำงานบ้าง วันนี้ เจ้าตัวน้อย มีข้อมูลวันหยุดประจำปี 2561 มาฝาก เพื่อทุกท่านจะได้วางแผนล่วงหน้าสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวและพักผ่อนกันยาว ๆ ไปเลย วันหยุด เดือนมกราคม 2561 – วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2561 วันขึ้นปีใหม่ – วันอังคารที่ 2 มกราคม 2561 วันหยุดชดเชยวันสิ้นปี วันหยุด เดือนมีนาคม 2561 – วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม 2561 วันมาฆบูชา วันหยุด เดือนเมษายน 2561 – วันศุกร์ที่ 6 เมษายน 2561 วันจักรี – วันศุกร์ที่ 13 เมษายน 2561 วันสงกรานต์ – วันเสาร์ที่ 14 เมษายน 2561 วันสงกรานต์ – วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน 2561 วันสงกรานต์ – วันจันทร์ที่ 16 เมษายน 2561 วันหยุดชดเชยวันสงกรานต์ วันหยุด เดือนพฤษภาคม 2561 – วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561 วันแรงงาน – วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม 2561 วันวิสาขบูชา * หมายเหตุ : วันพืชมงคล (รอประกาศจากสำนักพระราชวัง) วันหยุด เดือนกรกฎาคม 2561 – วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม 2561 วันอาสาฬหบูชา – วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2561 วันเฉลิมพระ...

ใครจะทนไหว!!!10 จุดลับของผู้ชาย เพียงแตะเบาๆ อารมณ์ก็ระเบิด!!

เรื่องบนเตียงเป็นเรื่องระหว่างคนสองสองคน ต้องบอกเลยว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและยากมากที่จะเข้าใจ แถมเรื่องบนเตียงนั้นก็ไม่ใช่เพียงแค่ทฤษฎี แต่มีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จริงอยู่ที่ฝ่ายหญิงอยากให้เขาบริการให้ แต่ถ้าเธออยากให้ความสนุกซาบซ่านกับเขาบ้าง เจ้าตัวน้อย ขอแนะนำ10 จุดที่ไม่ควรพลาดมาฝาก 1. ริมฝีปากด้านล่าง การที่เราสัมผัสริมฝีปากล่างของเขา และแอบขบเบา ๆ เพื่อเป็นการหยอกล้อ รู้ไหมว่ามันคือการจุดอารมณ์ของผู้ชายในตอนเริ่มต้นให้พลุ่งพล่านได้เป็นอย่างดี ถ้าขี้เล่นหน่อย จะลองใช้ลิ้นแตะเบา ๆ ที่ริมฝีปากล่างก็ไม่เสียหาย ยิ่งรุกเร้าแบบเผ็ดร้อน ผู้ชายชอบมากกก 2. ใต้คาง บริเวณใต้คาง แถวสันกรามถือเป็นอีกจุดที่ผู้ชายจะร้องครางไม่เป็นภาษาเลยทีเดียว เพียงคุณพ่นลมหายใจเข้าไปใกล้ ๆ เท่านั้น แล้วคิดดูว่าถ้าคุณใช้ริมฝีปากสัมผัสจูบลงไปเบา ๆ ลงลิ้นหยอกล้อไปตามแนวสันกราม ปล่อยลมหายใจอุ่นๆ ของเรารดลงไปต้นคอของเขา ดูสิว่าเขาจะหนีเธอพ้นไหม 3. หัวนม ไม่ว่าจะเพศไหน บริเวณนี้ก็สามารถสร้างความเสียวซ่านได้เหมือนกันหมด เพราะเป็นจุดที่มีเส้นเลือดค่อนข้างเยอะ แต่ระวังอย่าหมั่นเขี้ยวหัวนมเล...

แนะนำ